♡รีวิวงานพิเศษที่ญี่ปุ่น แบบโหดมันฮาน้ำตาไหล (ร้านอุด้ง)Part 1♡

♡รีวิวงานพิเศษที่ญี่ปุ่น แบบโหดมันฮาน้ำตาไหล (ร้านอุด้ง)Part 1♡

こんにちは💗 สวัสดีผู้อ่านทุกท่านค่ะ วันนี้ดิฉันจะมาเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์การทำงานพิเศษในประเทศญี่ปุ่นในช่วงเรียนปริญญาโทค่ะ บอกเลยว่าทำมาเป็นสิบ ๆ งาน 😂 แม้จะได้ทุนทุกเดือนก็จริง แต่ไม่พอกับค่าใช้จ่ายที่ญี่ปุ่น ขึ้นชื่อว่าญี่ปุ่นทุกคนก็ทราบกันดีว่าอะไรๆก็แพง😢 ถ้าจะอยู่บ้านแล้วนั่งรอทุนอย่างเดียว คงไม่พอประทังชีวิต ไหนจะค่ารถไปโรงเรียน ไหนจะค่าหนังสือเรียน ค่าอาหารอีก TT

วันนี้ดิฉันจะมาพูดถึงประสบการณ์ทำงานใน”ร้านอุด้ง” เรียกได้ว่าเป็นงานพิเศษงานแรกในการใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น มีทั้งเกือบถอดใจกลางคัน มีทั้งเรื่องป๊อปปี้เลิฟ ฯลฯ จะเป็นยังไงนั้นไปอ่านกันเลยค่ะ

🌸ตอนที่ 1 สัมภาษณ์งาน🌸

↑↑↑↑ชุดยูนิฟอร์มแรกในชีวิต↑↑↑↑

 ตอนที่ไปถึงญี่ปุ่น พอเริ่มปรับตัวได้สัก 1 อาทิตย์ เนื่องจากลองคำนวณดูแล้วพบว่า ทุนไม่น่าพอค่าใช้จ่ายของทั้งเดือน แถมเงินเก็บที่เอามาก็ค่อยๆลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะค่าใช้จ่ายในการย้ายจากประเทศเยอะมาก ค่าห้องพัก ค่าเดินทาง ค่าซิมโทรศัพท์ ฯลฯ พูดง่ายๆคือแห้งไปหมด กระเป๋าตังค์นั้นหรือคือปลาหมึกย่าง แบนมากกกก  เลยลองเปิดเว็บหางานดู แล้วสมัครไปหลาย ๆ งาน พอเราสมัครไปปุ๊บก็จะมีคนจากทางร้านโทรมาหาเรา ซึ่งดิฉันโดนปฏิเสธประมาณ 4 ร้าน หลังจากตอบคำถามที่ถูกคนปลายสายถามว่า

    “อยู่ญี่ปุ่นมานานเท่าไหร่แล้วคะ”

    “ 1 สัปดาห์ค่ะ”

    “ อืมม ต้องขอโทษด้วยค่ะ จะทำงานที่ร้านเราต้องอยู่ญี่ปุ่น 1 ปีขึ้นไป “

 จบเลยยยยย ตอนนั้นงอนมากกกก เพราะว่าระดับภาษาญี่ปุ่น( ณ ตอนนั้น)ของเราก็อยู่ที่ N2 แล้ว เจ็บใจที่เราไม่ได้งานด้วยเหตุผลแค่นี้ แล้วดิฉันก็ไปเจอรับสมัครของร้านอูด้งร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านที่เคยไปบ่อยๆสมัยมาแลกเปลี่ยนแบบ  1 ปี ตอนนั้นเนี่ยแอบคิดหลายๆอย่างเหมือนกัน เพราะว่าร้านอุด้งที่ว่า อยู่ห่างจากบ้านเราประมาณ 1 ชั่วโมง(เดินทางด้วยรถเมล์) แต่ก็ลองเสี่ยงดวงดู คัมม่อน ๆ ๆ โอ้เบบี้ ให้อูด้งทำนายกัน

↑↑↑↑สถานีนาโกย่า↑↑↑↑

 พอสมัครไปได้ 1 วัน ทางร้านก็โทรมา ปกติแล้ว คนญี่ปุ่นเวลาพูดอะไรที่เป็นทางการเขาจะมีภาษาที่สุภาพขึ้นไปอีกขั้นเรียกว่า 敬語 (เคโกะ) ซึ่งเป็นภาษาปราบเซียนเพราะทั้งยาวทั้งยาก แต่เราคิดว่าผู้จัดการร้านนี้น่าจะเห็นว่าเราเป็นเด็กชาวต่างชาติ คงเป็นห่วงว่าเราจะฟังไม่เข้าใจถ้าใช้ภาษาแบบนั้น เลยพูดกับเราแบบง่ายๆ เป็นคำ ๆ (ซึ้งมาก ๆ TT) แล้วก็นัดให้เราไปสัมภาษณ์อีก 2 วันถัดไป พอถึงวันจริงเราก็เตรียมพาสปอร์ตและบัตรชาวต่างชาติไป ผู้จัดการก็เอาใบมาให้กรอกว่าเราเคยทำงานอะไรมาบ้าง เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ ข้อมูลต่างๆ แล้วก็ถามเราว่าทำไมถึงมาสมัครที่ร้านนี้ เราก็ตอบไปว่า

เพราะว่าเมื่อ 3 ปีที่แล้วดิฉันเคยมาแลกเปลี่ยนที่จังหวัดนี้ และปกติเราไม่ชอบอูด้งแต่เราถูกปากกับอุด้งของร้านนี้ เราเลยมาร้านนี้บ่อยมากในตอนนั้น การกลับมาครั้งนี้ถ้าได้เข้ามาทำงานก็คงจะมีความสุขมากค่ะ

เป็นไงคะ คำตอบนางงามขวัญใจมากค่ะ มงร้านอูด้งต้องลงแล้วว 😁😁 เป็นไปตามคาดค่ะ พอได้ฟังคำตอบผู้จัดการก็ยิ้มหน้าบานมาก

 หลังจากกรอกข้อมูลเสร็จ ผู้จัดการก็พาเราทัวร์ร้าน พร้อมกับแนะนำทุกคนในร้านว่า “นี่พนักงานใหม่ของร้านเราจ้าาา” ตอนนั้นเอาจริงๆคือแอบงง เพราะเราเพิ่งสัมภาษณ์จบไปเอง 555  แล้วสรุปเราก็ได้งานค่ะ💕 ผู้จัดการก็ให้เราลงตารางช่วงเวลาที่สามารถมาทำงานได้ แล้วก็ขอร้องเราว่า “เธอเป็นเด็กใหม่ ก่อนอื่นอยากให้ลงกะเช้า เพื่อเรียนรู้งานตั้งแต่ต้น  9:00 น มาไหวไหม” เราก็แอบคำนวณเวลาเพราะบ้านเราอยู่ไกล ก็ต้องตื่นประมาณ 05:30 นหรือ 06:00 น ขึ้นรถมีตอน 7 โมงนิดๆเพื่อที่จะได้มาถึง 8:00 นิดๆและมีเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวก่อนทำงาน ใจตอนนั้นแอบฝ่ออยู่เหมือนกัน แต่เพื่อเงินแล้วเราทำได้ 555 ก่อนกลับผู้จัดการร้านยื่นกระดาษให้เราสองใบ ซึ่งมีภาพเมนูทั้งหมดของร้านพร้อมราคากับส่วนผสมว่าใส่อะไรเท่าไหร่บ้าง แล้วบอกเราว่า “เจอกันครั้งหน้าต้องจำได้แล้วนะ” 

เอ่อ…  ผู้จัดการคะ ครั้งหน้าของผู้จัดการวันมะรืนนี้เองนะ จะจำได้มั้ยยย TT——-TT

↑↑↑↑40 กว่าเมนู ภายใน 2 วัน↑↑↑↑

🌸ตอนที่ 2 เรียนรู้งาน🌸

 แม้จะผ่านมาเกือบ 3 ปีแล้วแต่เรายังจำวันแรกที่เข้าไปฝึกงานที่ร้านได้ คนสอนงานเราเป็นเด็กนักศึกษาอายุอ่อนกว่าเราประมาณ 4-5 ปี นางก็ให้เราทำความสะอาดร้าน(ถูพื้น เช็ดโต๊ะ เคาะฝุ่นออกจากพรม เอาถุงขยะใส่ในถังขยะ)เติมเครื่องปรุงตามโต๊ะ ทำโอนิกิริ ประมาณ 20 กว่าก้อน ทำอินาริ(ข้าวซูชิห่อในฟองเต้าหู้) อีก 16 ชิ้น เตรียมอุ่นหมูกับเนื้อ ทุกอย่างที่บอกนี้จะต้องทำให้เสร็จก่อนร้านเปิดซึ่งมีเวลาทั้งหมด 20 นาที ใช่ค่ะ 20 นาทีเท่านั้น ตอนนั้นเหมือนกับตัวเองกำลังอยู่ในวาไรตี้แข่งขันจับเวลา คือต้องวิ่งเท่านั้นค่ะถึงจะทัน

สภาพก่อนเปิดร้านตามภาพนี้เลยค่ะ

 ถึงเวลาเปิดร้าน หากมีลูกค้าเข้าร้านมา พนักงานคนไหนที่เห็นก่อนจะต้องพูดว่า “いらっしゃいませ(ยินดีต้อนรับค่ะ)” แล้วเราก็ต้องพูดตาม นึกออกไหม เหมือนเสียงเอคโค่ไมค์ในวัด อิรัชชัยมะเสะ เสะ เสะ กันไปเป็นทอด ๆ ช่วงเช้าลูกค้ายังน้อย เราได้มีโอกาสจับเครื่องจ่ายเงิน ดูการทำงานของเครื่อง พร้อมกับดูแลเครื่องล้างจานที่อยู่ข้างหลังไปพร้อมๆกัน ใช่ค่ะ อย่าคิดว่าได้จับแคชเชียร์แล้วทำอย่างอื่นไม่ได้😂😂   

    เนื่องจากร้านนี้อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟใหญ่ของจังหวัด ทำให้มีลูกค้าแน่นมากในช่วงเที่ยงกับช่วงเย็น การทำแคชเชียร์ของร้านนี้ ไม่ใช่ว่าเราสแกนบาร์โค้ด หรือดูใบเสร็จแล้วคีย์ข้อมูล ลูกค้าจะสั่งอุด้งที่เคาน์เตอร์ด้านหน้ามาก่อน พร้อมกับหยิบเทมปุระหรือโอนิกิริมาด้วย เราต้องดูในถาดของลูกค้าว่าเขาสั่งอะไรแล้วเป็นคนคีย์ข้อมูลเข้าไป กฏคือห้ามถามว่าลูกค้าสั่งอะไรมา เข้มมากแม่ 😂 นี่วันแรกหรอ TT—-TT แต่โชคยังดีอยู่บ้าง คนที่อยู่เวรวันนั้นทุกคนใจดีหมด เราทำผิดก็สอนเราไม่ได้ดุอะไร วันนั้นจำได้ว่าใส่เมนูลูกค้าผิดๆถูกๆ เพราะยังไม่ชิน ผิดไซส์บ้าง ผิดเมนูบ้าง ผิดจำนวนบ้าง รุ่นพี่มาดูประมาณเกือบ 10 รอบ 😂 ตอนเริ่มเข้า 11:00 น จากที่ร้านกำลังว่างๆอยู่ ลูกค้าก็ทยอยกันมาเรื่อยๆ จนแถวยาวออกไปนอกร้าน แล้วยังยาวต่อไปถึงหลังร้าน ภาษาญี่ปุ่นของเราเวลาพูด ณ ตอนนั้นยังไม่ได้ไวมาก เราพูดค่อนข้างช้า ทำให้แถวแคชเชียร์ตอนนั้นยาวมากจนคนลวกเส้นต้องหยุดลวกรอเราคิดเงินลูกค้าให้เสร็จก่อน ยังรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้ 😂😂 ช่วงกลางวัน 1 ชั่วโมง ลูกค้าเข้าร้านประมาณ 100 คน เรายืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ดื่มน้ำเลย คิดเงิน พร้อมกับล้างจานไปด้วย ตอนนั้นคือเริ่มมึนหัว เริ่มหิวข้าว แล้วรุ่นพี่ก็เดินมาบอกว่า “นานะจัง ได้เวลากลับแล้ว” ก็หันไปดูนาฬิกาก็เที่ยงพอดี ใช่ค่ะ ทั้งหมดที่ทำมานี้ 3 ชั่วโมง 😂 แล้ววันอื่นที่ฉันลงไป 6 ชั่วโมงล่ะ 😲 โอ้แม่เจ้า ไม่อยากจะคิดดดดดด

อินาริ(ข้าวซูชิห่อในฟองเต้าหู้)
CR::Cookpad

🌸ตอนที่ 3 ร้องไห้ครั้งแรกกับงานพิเศษ🌸 

 พอผ่านไปได้ซัก 3 เดือน เราก็เริ่มชินกับงาน แม้จะมีผิดพลาดไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถูกมองเป็นเรื่องใหญ่ อาจจะเป็นเพราะว่าทุกคนใจดีมากจริงๆ ยังซึ้งใจมาถึงทุกวันนี้  การพูดภาษาญี่ปุ่นของเราเร็วขึ้นมากๆ เหมือนเรากดดันทุกครั้งที่ได้ทำแคชเชียร์ ว่าถ้าเราพูดช้า อุด้งก็จะเย็นแล้วมันก็จะไม่อร่อย ลูกค้าก็จะไม่พอใจ เราพูดไวกว่าเดิมประมาณ 2 เท่า หลายๆคนอาจจะสงสัยว่า มันจะต้องพูดอะไรเยอะขนาดนั้นเลยหรอ มาเดี๋ยวเราจะบอกว่าต้องพูดอะไรบ้าง 

‘‘いらっしゃいませ こんにちは お会計失礼いたします”

 ยินดีต้อนรับค่ะ สวัสดีค่ะ ขออนุญาตคิดเงินนะคะ 

“かけうどんの大一つ と いなり一つと 海老天一つですね ありがとうございます” 

รายการอาหารมีอุด้งไซส์ใหญ่ 1 ที่  อินาริ  1 ชิ้น แล้วก็เทมปุระ 1 ชิ้นนะคะ ขอบคุณมากค่ะ 

“以上で、520円でございます” 

รวมทั้งหมด 520 เยนค่ะ

“1000円お預かりいたします” 

รับมา 1000 เยนค่ะ 

“480円とレシートのお返しです” 

เงินทอน 480 บาทกับใบเสร็จค่ะ

“ありがとうございます ごゆっくりどうぞ”

ขอบคุณมากค่ะ เชิญรับประทานตามสบายค่ะ 

นี่คือสำหรับลูกค้า 1 คนเท่านั้น และด้วยความที่ ที่นี่เป็นร้านแฟรนไชส์ ต้องทำมาตรฐานเดียวกันหมดทุกที่และทุกคนไม่เว้นแม้แต่เรา นึกภาพออกไหมว่าวันแรกที่เราเข้ามาทำงาน มันหินแค่ไหนสำหรับเรา เรากรีดร้องในใจหลายครั้งมาก แบบ อ๊ายยยยยย ฉันจะผ่านวันนี้ไปได้ไหมเนี่ยยย 😂😂

 มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ช่วงนั้นเราก็ยังเข้าทั้งกะเช้าแล้วก็กะบ่าย โดยกะเช้าเราจะได้เข้าตรงกับคุณป้าคนหนึ่ง ซึ่งแกชอบหงุดหงิดใส่เรามากกก แบบไม่ทราบสาเหตุ แต่เราก็ไม่ได้อะไรนะ มีแบบหงอย ๆ บ้าง เพราะว่าบางทีก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแกถึงหงุดหงิดเยอะ วันที่เกิดเรื่องเป็นวันที่มีลูกค้าเยอะ ร้านเราเวลาคีย์ข้อมูลผิด แบบปริ้นใบเสร็จออกมาแล้วเรียบร้อยแล้วจำเป็นที่จะต้องคีย์ข้อมูลใหม่ จะต้องเขียนชื่อลงในใบเสร็จที่ผิด แล้วก็บอกว่าผิดตรงไหน วันนั้นเรายืนที่หน้าแคชเชียร์ยาวมาก ตั้งแต่ 9:00 นถึง 13:00 น เราเริ่มหิวข้าวตาลาย ใกล้จะหมดคิวเราแล้ว เราดันคีย์ข้อมูลผิด จากชามเล็กเป็นชามกลาง เราก็รีบบอกคุณป้า เพื่อให้เค้ามาไขเก๊ะ จะได้เอาเงินทอนคืนลูกค้าให้ถูกต้อง เขาก็พูดว่า “อยู่มาจนขนาดนี้แล้ว ยังทำผิดอีกหรอ” เราก็รู้สึกผิดมาก เพราะมันเป็นช่วงยุ่ง พอคืนเงินให้ลูกค้าเสร็จ เราก็จะต้องเขียนใบเสร็จ เรากำลังล้วงไปเอาปากกาในผ้ากันเปื้อน ป้าหันมาแล้วพูดกับเราว่า “เขียนสิ ความผิดของเธอ เธอรีบเขียนสิ”ต่อหน้าลูกค้าหลายคน เรารู้ตัวเลยว่าเราหน้าเสียมาก เหนื่อยก็เหนื่อย แล้วก็มาโดนหงุดหงิดใส่ แถมยังโดนว่าต่อหน้าลูกค้าอีก ตอนนั้นเนี่ย เสียใจมากนะ แต่น้ำตายังไม่มา😂 10 นาทีสุดท้ายของการทำงานกะนั้น คือใจพังมาก ในใจตอนนั้นคิดตลอดเลยว่า 

“เราต้องไม่ทำผิดพลาด เราต้องทำทุกอย่างให้ดีและไว จะได้ไม่รบกวนคนอื่น” 

 ในขณะที่กำลังใจของเราใกล้จะหมด มีลูกค้าคนหนึ่งเป็นผู้ชายวัยประมาณ 60 ปี ไว้ผมยาวถึงกลางหลัง ใส่หมวกและเสื้อผ้าแบบแนวเรกเก้ ใส่กางเกงสีม่วง เดินมาพร้อมกับถาดอุด้ง “รบกวนด้วยครับ” เราพูดเหมือนเดิม พูดไวๆ เพราะกลัวว่าลูกค้าจะรอนาน พอเราพูดคำว่า “เชิญทานตามสบายค่ะ” จบ ลูกค้ายิ้มแล้วบอกเราว่า “คุณพนักงานนั่นแหละ ทำตามสบายบ้าง เหนื่อยใช่ไหม สู้ๆนะ” แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะ หลังจากได้ยินคือความอดทนของเราทั้งหมดพังทลาย น้ำตามาเลยอ่ะ แต่ยังแอบกลั้น ๆ ไว้ พอได้พักเราก็ไปแอบร้องไห้ต่อ คือมันดีใจแล้วก็ประทับใจ เพราะคำพูดประโยคเดียวประโยคนั้น ทำให้เราทนทำงานที่นั่นได้ประมาณปีครึ่ง (บางวันมีนะคะ ที่เข้ากะแค่สองคน แล้วคนหนึ่งไปเข้าห้องน้ำ เราต้องทำทุกหน้าที่ ตั้งแต่รับออเดอร์ ลวกเส้น คิดเงิน ล้างจาน อุ่นของ 😂 ) คุณลุงคนนั้นได้สอนเราด้วยคำพูดประโยคเดียว เราเริ่มชื่นชมคนอื่นมากขึ้น ใครทำอะไรผิดพลาดก็ไม่หงุดหงิดใส่ เพราะเราไม่รู้ว่าคนคนนั้นเจออะไรมาบ้าง คำพูดดีๆจากเราเพียงประโยคเดียว อาจจะช่วยต่อชีวิตหรือเป็นกำลังใจให้กับใครอีกหลายคนก็ได้ 🙂

สีส้ม ๆ ที่เขียนข้างล่างคือตารางงานของเราค่ะ แน่นเอี๊ยดดดด

 เป็นยังไงบ้างคะ สำหรับประสบการณ์ครึ่งแรกของเรา เวลาเอามาเล่าแบบนี้ ดูเหมือนจะไม่เหนื่อยไม่หนัก ดูขำ ๆ ฮา ๆ แต่ความจริงแล้ว เราจะหน้ามันเยิ้ม ๆ และวิ่งไปรอบ ๆ ร้านเหมือนคนบ้า 😂 สำหรับเรื่องรัก ๆ ของเรา (อิอิ) และเรื่องดราม่าจนทำให้เราต้องขอลาออกนั้น ติดตามในตอนต่อไปนะคะ สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ :)
(อ่าน Part 2 แบบเต็ม ๆ ได้ที่ https://nanajapanista.com/lifeinjapan2/)

ปล.ใครอ่านแล้วอยากเมาท์สามารถคอมเมนท์หรืออินบ็อกซ์มาได้ที่ https://www.facebook.com/japanistanana ได้เลยนะคะ

Author

  • นานะ (なな)

    ・เกิดโตเมืองไทย・แต่ใช้ชีวิตในญี่ปุ่น(เข้าปีที่ 4)・ ・จบโทด้านการสอนภาษาญี่ปุ่น ในญี่ปุ่น・ชอบเที่ยว ชอบกิน ชอบเล่า ・ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้า・

บทความที่เกี่ยวข้อง